Monday, January 9, 2012

ศิลปะสากล

วิวัฒนาการของศิลปะสากล

ในที่นี้จะขอกล่าวถึงวิวัฒนาการของศิลปะสากลตั้งแต่สมัยกลาง (Middle Age)
ถึง สมัยใหม่( Modern Art ) ทั้งด้านจิตรกรรม ประติมากรรมและสถาปัตยกรรม
พอสังเขป เพื่อเป็นแนวทางสำหรับผู้ที่สนใจ
และสำหรับนักเรียนที่จะศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย เป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้
รายวิชา ศิลปะ


ศิลปะสมัยกลาง ( Middle Age )

1.) ศิลปะไบเซนไทน์ ( Bizentine )
การสร้างสรรค์เพื่อพระผู้ไถ่บาปให้แก่มวลมนุษย์
( ค.ศ.330 - 1453 หรือ พ.ศ.873 - 1996 )

โบสถ์เซนต์โซเฟีย St.Sophia ค.ศ.532-537
เป็นสถาปัตยกรรมแห่งการผสมผสาน
นับเป็นแหล่งรวมลักษณะความโดดเด่น
ของกรีก โรมันและลักษณะตะวันออก
แบบอาหรับ หรือเปอร์เซีย
ไว้ในผลงานชิ้นเดียวกันได้อย่างกลมกลืน




2.) ศิลปะโกธิค ( Gothic )
คริสต์ศตวรรษที่ 12-15 ในประเทศฝรั่งเศสเป็นหลัก
ลักษณะเด่นของสถาปัตยกรรม
สมัยโกธิค คือ มีลักษณะสูงชลูด และส่วนที่สูงที่สุดของโบสถ์
จะเป็นที่ตั้งของกางเขนอันศักดิ์สิทธิ์
เพื่อจะเป็นที่ติดต่อกับพระเจ้าบนสรวงสวรรค์ ได้แก่

วิหารโนเตรอ-ดาม ( Notre-Dame) กรุงปารีส ฝรั่งเศส
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5
โปรดให้ถ่ายแบบแล้วนำมาสร้างไว้ที่
วัดนิเวศธรรมประวัติ บางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
   


 

3.) ยุคฟื้นฟูศิลปะและวิทยาการ ( Renaissance )

คริสต์ศตวรรษที่ 14
ยุโรปมีความตื่นตัวทางด้านการพาณิชย์และแสวงหาดินแดนในโลกใหม่

อันนำมาซึ่งลัทธิการล่าอาณานิคม ส่วนในทางศิลปะนั้น
ศิลปินมีความกล้าที่จะแหวกวงล้อมของอิทธิพลศิลปะโกธิค

ไปสู่การสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ส่วนในทางวิทยาศาสตร์และการประดิษฐ์
มีการค้นพบระบบสุริยจักรวาลของโคเปอร์นิคัส

การค้นพบกระบวน การพิมพ์หนังสือของ กูเตนเบอร์กและฟุสท์

อิตาลี ถือว่าเป็นศูนย์กลางของความเจริญก้าวหน้าที่สำคัญ
โดยเฉพาะในเรื่องของศิลปกรรม

ศิลปะในสมัยฟื้นฟูศิลปะและวิทยาการ
เป็นยุคสมัยที่มีคุณค่ายิ่งต่อวิวัฒนาการทางจิตรกรรมของโลก

คือ ความมีอิสระในการสร้างสรรค์ศิลปะของมนุษย์
ความมีลักษณะเฉพาะตัวของศิลปิน
กล้าที่จะคิดและแสดงออกตามแนวความคิดที่ตนเองชอบ
และต้องการแสวงหา

นับเป็นบันไดก้าวแรกที่จะนำทาง
ไปสู่การสร้างสรรค์งานจิตรกรรมสมัยใหม่ในเวลาต่อมา
งานจิตรกรรมมีความตื่นตัวและเจริญก้าวหน้า

ทางเทคนิควิธีการเป็นอย่างมาก
ได้มีการคิดค้นการเขียนภาพลายเส้นทัศนียภาพ
( Linear Perspective )
ซึ่งนำไปสู่การเขียนภาพทิวทัศน์ที่งดงาม

นอกจากนี้ศิลปินได้พยายามศึกษากายวิภาค
ด้วยการผ่าตัดศพ พร้อมฝึกวาดเส้น

สรีระและร่างกายมนุษย์อย่างละเอียด

แสดงกระดูกและกล้ามเนื้อที่ถูกต้อง

ความเจริญก้าวหน้าในงานจิตรกรรมสีน้ำมัน
ประสบความสำเร็จอย่างสูงในยุคนี้ด้วย

ภาพโมนา ลิซา Mona Lisa (ค.ศ.1503-1505)
เลโอนาร์โด ดา วินชี Leonardo Da Vinci

  
 
ภาพอาหารมื้อสุดท้าย The Last Supper
เป็นงานจิตรกรรมที่มีชื่อเสียงอีกภาพหนึ่งของเลโอนาร์โด ดา วินชี 
  
4.) ศิลปะบาโรก ( Baroque ) ค.ศ.1580 - 1750 
เป็นยุคที่มีการสร้างสรรค์งานศิลปะเพื่อการแสดงออกที่เรียกร้องความสนใจ 
มากเกินไปมุ่งหวังความสะดุดตาราวกับจะกวักมือเรียกผู้คนให้มาสนใจศาสนา  
การประดับตกแต่งมีลักษณะฟุ้งเฟ้อเกินความพอดี  
      พระราชวังแวร์ซายล์ส Versailles (ค.ศ.1661 - 1691)  
ร้างขึ้นด้วยหินอ่อน ในสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14  ของประเทศฝรั่งเศส  
ใช้เงินไปประมาณ 500 ล้านฟรังส์ จุคนได้ประมาณ 10,000 คน  
เพื่อประกาศให้นานาประเทศได้เห็นถึงอำนาจและบารมีของพระองค์ 

 
      
5.) ศิลปะโรโคโค ( Rococo ) ค.ศ. 1700 - 1789 
เป็นผลงานศิลปะที่สะท้อนความโอ่อ่า หรูหรา  
                                              
6.) ศิลปะคลาสสิกใหม่ ( Neoclassic )  ค.ศ. 1780 - 1840 
เป็นลัทธิทางศิลปะที่เก่าแก่ที่สุด  
ได้ฟื้นฟูศิลปะคลาสสิกอันงดงามของกรีกและโรมันกลับมาสร้างใหม่ 
 
เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของศิลปะสมัยกลางและศิลปะสมัยใหม่  
เป็นประตูของประวัติศาสตร์บานสำคัญที่ทำหน้าที่แง้มไปสู่โลกแห่งเสรีภาพ 
อันมีผลต่อการคิดค้นสร้างสรรค์ศิลปะอย่างกว้างขวางในเวลาต่อมา 
      ภาพความตายของโซคราติส  โดย ดาวิด David   ค.ศ.1787  
 แสดงให้เห็นความสมจริงตามแบบตามองเห็น การกำหนดมิติ  
น้ำหนัก แสงเงา ยังอาศัยอิทธิพลดั้งเดิมของศิลปะสมัยกลาง 
มีการนำลักษณะโครงสร้างทางสถาปัตยกรรมสมัยกรีกและโรมัน 
มาสร้างเป็นภาพพื้นหลังแสดงเรื่องราวในสมัยกรีกและโรมัน 
ซึ่งจะแฝงไว้ด้วยความรักชาติ ความเสียสละ สำนึกรับผิดชอบต่อประชาชน 
         
 ภาพคำสาบานของพวกฮอราติไอ โดย ดาวิด David  ค.ศ.1784 
เป็นเรื่องราวความรักชาติของนักรบโรมัน 3 คนที่รับดาบจากบิดา เพื่อสู้รบกับศัตรู  
โดยยึดถือผลประโยชน์ของรัฐ เป็นหลัก ส่วนครอบครัว  
คนรักและความผูกพันระหว่างพี่น้องเป็นผลประโยชน์ด้านรอง 
    
ศิลปะสมัยใหม่ ( Modern Art ) 
1.) ศิลปะจินตนิยม ( Romanticism )
ประมาณ ค.ศ. 1800
1900
ก่อเกิดในอังกฤษและฝรั่งเศสช่วงระยะเวลาที่ใกล้เคียงกัน
มีทรรศนคติที่ต้องการความเป็นอิสระ
ในการแสดงออกที่ศิลปินต้องการมากกว่าการเดินตามกฏเกณฑ์
และแบบแผนทางศิลปะ
ดังที่ศิลปินลัทธิคลาสสิกใหม่ยังยึดถืออยู่
เป็นศิลปะ
ที่เน้นอารมณ์อยู่เหนือเหตุผล
มุ่งสร้างสรรค์งานที่ตื่นเต้น เร้าใจ ก่อให้เกิดอารมณ์สะเทือนใจแก่ผู้ชม
 ภาพ เสรีภาพนำหน้าประชาชน  
โดย เดอลาครัวซ์ Eugene Delacroix ( ค.ศ.1830 ) 
เดอลาครัวซ์เป็นศิลปินชาวฝรั่งเศสที่พัฒนาตนเองมาจากการศึกษาศิลปะ 
ในอดีตจนกลายเป็นผู้นำลัทธิจินตนิยม  
  
งานจิตรกรรมชิ้นนี้เป็นภาพที่ได้แรงบันดาลใจมาจากเหตุการณ์การปฏิวัติในฝรั่งเศส  
จะเห็นว่าภาพนี้สามารถส่งผลกระทบต่อความรู้สึกได้อย่างน่าตื่นเต้น 
นับตั้งแต่การเลือกเรื่องราว  
การจัดภาพ การกำหนดแสงเงาที่ตัดกันเอกภาพของทิศทางของกลุ่มคนยืน 
ขัดแย้งกับทิศทางของผู้บาดเจ็บล้มตาย  
การให้ความสำคัญในท่าทางอิริยาบถของทุกคน  
การถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกผ่านท่าทาง ใบหน้า และดวงตา 
 
                      
2.) ศิลปะสัจนิยม ( Realisticism ) กลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 
      ศิลปินในยุคนี้ได้แก่ กุสตาฟ คูร์เบท์,ฌอง ฟรังซัวส์ มิล์เลท์ 
 ภาพผลงานจิตรกรรมชื่อ ภาพร่อนข้าวโพด  
The Corn Sifters     วาดโดย กุสตาฟ  คูร์เบท์  
Gustave Courbet ค.ศ.1855   
   

3.) ศิลปะลัทธิประทับใจ ( Impressionism ) ศิลปะแห่งความงดงาม 
ของประกายแสงและสี 
ศิลปะลัทธิประทับใจ  จะแสดงภาพทิวทัศน์บก ทะเล ริมฝั่ง  
เมืองและชีวิตประจำวันที่รื่นรมย์ เช่น  
การสังสรรค์ บัลเลต์ การแข่งม้า สโมสร นิยมเขียนภาพนอกห้องปฏิบัติงาน  

 ภาพผลงานจิตรกรรมชื่อ อาหารกลางวันบนสนามหญ้า  
Lunch on the Grass         
 าดโดย มาเนท์ Edouard Manet  ค.ศ.1863 
เป็นภาพที่สร้างความแปลกและตื่นตระหนกให้แก่ชาวฝรั่งเศสเป็นอันมาก
เพราะเป็นภาพที่ผู้ชายแต่งกายเรียบร้อยและผู้หญิงเปลือยกาย
  
 
4.) ศิลปะลัทธิประทับใจใหม่ ( Neo - Impressionism ) 
สีจากแสงสเปกตรัมมาสู่อนุภาค 
เกิดเทคนิคการระบายสีเป็นจุด ( Pointilism )  
ซึ่งเป็นผลมาจากความเชื่อทางฟิสิกส์ว่า  
แสง คือ อนุภาค  โดยการระบายสีให้เกิดริ้วรอยพู่กันเล็กๆ ด้วยสีสดใส  
จุดสีเล็กๆ นี้จะผสานกันในสายตา 
ของผู้ดู มากกว่าการผสมสีอันเกิดจากการผสมบนจานสี 
 ศิลปินคนสำคัญในยุคนี้ ได้แก่ จอร์จส์   เซอราท์,คามิลล์ พีส์ซาร์โร,พอล ซิยัค 
    ภาพผลงานจิตรกรรมชื่อ ถนนมองท์มาร์ทยามพลบค่ำ   
Boulevard Montmartre in the Evening   
  
โดย คามิลล์ พีส์ซาร์โร Camille Pissaro ค.ศ.1897 
                    
  5.) ศิลปะลัทธิประทับใจยุคหลัง ( Post - Impressionism ) 
  ศิลปินในยุคนี้ ได้แก่ พอล   เซซานน์,วินเซนต์   ฟานโกะ,พอลโกแกง 
 และ ทูลูส - โลเทรค 
ภาพผลงานจิตรกรรม ชื่อ ห้องนอนที่อาลส์  
The Bedroom at Arles   
วาดโดย วินเซนต์  ฟานโกะ Vincent van Gogh 
                 

  6.) ศิลปะลัทธิบาศกนิยม ( Cubism )  ค.ศ. 1907 - 1910  
ศิลปินคนสำคัญในยุคนี้ ได้แก่ พาโบล   ปิคาสโซ,จอร์จส์   บราคและ 
 เฟอร์นานด์   เลเจร์ 
ภาพผลงานจิตรกรรมชื่อ  หญิงสาวแห่งอาวิยอง  
Les Demoiselles d'Avignon           
โดย พาโบล   ปิคาสโซ  Pablo Picasso ค.ศ. 1807 
                

   7.) ศิลปะลัทธิเหนือจริง ( Surrealism )  
ศิลปกรรมที่เปิดเผยความฝันและจิตใต้สำนึก 
 การแสดงออกทางจิตรกรรมของศิลปินลัทธิเหนือจริงมีหลายแนวทางเช่น 
การสร้างสรรค์รูปทรงจากจิตใต้สำนึก  
การใช้รูปทรงจากโลกที่มองเห็นได้เป็นตัวสื่อในการแสดงออก 
อาจเป็นเรื่องของความฝันฝันร้าย อารณ์เก็บกด   
เรื่องราวจากตำนาน  เรื่องเร้นลับ  การท้าทาย  ศาสนา  
 การเปรียบเทียบสิ่งที่แปลกแตกต่างกัน แสดงออกในสภาพที่เพ้อฝัน   
น่าตื่นตระหนก  น่าหวาดกลัว  แดนสนธยา  
 เป็นการใช้สีและสร้างบรรยากาศที่ลึกลับ 

   ภาพผลงานจิตรกรรมชื่อ  เทศกาลตลก โดย โยฮัน   มิโร  
Joan  Miro ค.ศ 1924 - 25 
              
              
  8.) ศิลปะลัทธินามธรรม ( Abstractism ) ศิลปะไร้รูปลักษณ์ 
 ศิลปินแสดงออกโดยการสกัดรูปทรงจากธรรมชาติให้ง่ายปล่อยให้รูปทรงปรากฏขึ้น 
ตามลีลาหรือกลวิธีในการแสดงออก  
 บางครั้งก็สร้างรูปทรงให้ปรากฏขึ้นจากความคิดอันเป็นนามธรรม 
 ศิลปินสร้างเส้น รูปทรง สี จากการใช้ญาณวินิจฉัย โดยไม่ต้องพึ่งเส้นรูปทรง สี  
จากธรรมชาติ 
 การแสดงออกเป็นผลจากพลังจิตใต้สำนึก ตามเส้นทางของจิตวิทยา 
 กลวิธีของการแสดงออก ได้แก่ การใช้สีราด หยด หยอด ใช้แปรงละเลง 
 ระบายอย่างหยาบกร้านการสาดสี เป็นต้น 
 ศิลปินคนสำคัญ ได้แก่ แจคสัน   พอลลอค,วาสสิลี   แคนดินสกี, พีท   มองเดรียง     
     ภาพผลงานจิตรกรรมชื่อ เอกนัย  Convergence  
โดย  แจคสัน   พอลลอคJackson  Pollock ค.ศ.1952 
             

No comments:

Post a Comment